--

ริ้วรอยหรือร่องลึกบนใบหน้าของเรามี 2 แบบ คือ แบบที่1 เมื่อขยับผิวหน้าหรือแสดงอารมณ์แล้วจะเห็นริ้วรอยเหล่านั้น เรียกว่า Dynamic Wrinkles และแบบที่ไม่ต้องแสดงอารมณ์หรือผิวหน้าแต่ก็เห็นริ้วรอยได้ชัด เราเรียกว่า Static Wrinkles ซึ่งการแก้ปัญหาริ้วรอยทั้ง 2 ประเภท ต้องใช้อย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างสารเติมเต็มหรือ Botilinum Toxin ในบางกรณีต้องฉีด Botulinum Toxin และสารเติมเต็มควบคู่กันไป จึงจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่สวยงาม

 

 

 

Botulinum Toxin กับสารเติมเต็มต่างกันอย่างไร?

 

Botulinum Toxin เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่สร้างและสกัดจากแบคทีเรีย ที่มีชื่อว่า Clostridium Botulinum ที่พบได้ในอาหารกระป๋องและหน่อไม้ปี๊บที่ผลิตไม่ได้คุณภาพหรือเสีย  แพทย์จึงได้ทำการสกัดโปรตีนจากแบคทีเรียตัวนี้มาเป็น Botulinum Toxin ออกฤทธิ์โดยการทําให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ กล้ามเนื้อจึงเกิดการคลายตัวและทําให้ผิวหนังที่เป็นริ้วรอย (Dynamic Wrinkle) อยู่บนบริเวณกล้ามเนื้อนั้นๆ เรียบเนียนขึ้นได้ โดยสารจะออกฤทธิ์ภายใน 1-2 วันหลังจากฉีดยา และเห็นผลสูงสุดในเวลาประมาณ 30 วัน ผลคือช่วยลด Dynamic Wrinkle คือริ้วรอยตื้นๆ ที่เกิดขึ้นจากการแสดงสีหน้าตามบริเวณต่างๆ ของใบหน้า เช่น หางตา หน้าผาก เป็นต้น และถ้าฉีดกระจายทั่วทั้งใบหน้า ยังช่วยแก้ปัญหาในจุดอื่นด้วย เช่น ลดกราม ลิฟต์กรอบหน้าวีเชฟ และปรับผิวหน้าให้เต่งตึง ดูสุขภาพดีอีกด้วย
ส่วนสารเติมเต็มนั้น เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “Hyaluronic Acid” หรือ HA ที่เป็นสารคงความชุ่มชื้นของผิวในร่างกายตามธรรมชาติ มีคุณสมบัติดูดของเหลวเข้ามาในบริเวณที่ฉีด ทำให้เกิดการเติมเต็มโดยไม่เป็นอันตราย และเข้าไปเติมเต็มหรือเสริมในชั้นผิวหนังเพื่อช่วยลดปัญหา Static Wrinkle หรือริ้วรอยที่เกิดขึ้นโดยไม่ต้องแสดงสีหน้า เช่น ผู้ที่มีปัญหาร่องมุมปาก ร่องแก้ม ร่องใต้ตา ริ้วรอยลึกบริเวณหางตา รอยขมวดคิ้ว เป็นต้น ร่องลึกหรือริ้วรอยประเภทนี้ต้องใช้สารเติมเต็มในการช่วยปรับให้บริเวณนั้นตึงและฟูขึ้นเท่านั้น ซึ่ง Botulinum Toxin จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ รวมถึงการเติมเต็มส่วนบกพร่องของใบหน้า เช่น โหนกแก้ม จมูก คาง ริมฝีปาก เพื่อปรับใบหน้าให้ดูดีมีมิติได้สัดส่วนที่สวยงามมากขึ้น รวมถึงช่วยให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลงอีกด้วย
เมื่อฉีด Botulinum Toxin หรือสารเติมเต็ม จะมีผลข้างเคียงหรือไม่?
ถ้าแพทย์ผู้ฉีดไม่มีความชำนาญ หรือฉีดมากเกินไปก็จะทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง เหมือนที่เห็นในข่าวว่าเกิดอาการตาตกจากการฉีด Botulinum Toxin เนื่องจากกล้ามเนื้อที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของใบหน้าแต่ละจุดเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมาก แต่ฉีดกล้ามเนื้อมีดไหน ลึกเท่าไร ใช้ตัวยามากน้อยเท่าไหร่  อันนี้ต้องใช้ความรู้เฉพาะทางจริงๆ ส่วนสารเติมเต็มถ้าผู้ฉีดไม่เข้าใจเรื่องชั้นไขมันและชั้นผิวของใบหน้า แล้วฉีดสารเติมเต็มน้อยเกินไปก็ไม่เห็นผล แต่ถ้าฉีดมากเกินไปจนไปเบียดเส้นเลือดฝอยตามเนื้อเยื่อ และเนื้อเยื่อบริเวณนั้นก็จะอักเสบ ติดเชื้อ เสียหายได้ แล้วโดยเฉพาะถ้าผู้ฉีดไม่มีความรู้ในการฉีดจริงๆ จะทำให้สารเติมเต็มเข้าไปสู่เส้นเลือดและทำให้เส้นเลือดตีบนั่นเอง

 

เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นการฉีด Botulinum Toxin หรือสารเติมเต็ม ต้องเลือกดูยี่ห้อให้ดีๆ และที่สำคัญต้องเลือกแพทย์ที่มีประสบการณ์ในการฉีดหน้ามาก่อนด้วย โดยทาง Dr.Alex Clinic คุณหมออเล็กซ์ จะใช้การฉีดแบบ Papillon Technique เป็นการฉีดกระจายแก้ปัญหาลงในชั้นผิวที่แตกต่างกัน ซึ่งการฉีดโดยเทคนิคนี้จะเป็นการฉีดกระตุ้นการเรียงตัวของ Fiborus ในชั้นผิว Dermis หรือกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนไปด้วยนั่นเอง ดังนั้นผิวจะดูใสขึ้นและเด็กขึ้นอีกด้วย

Leave a reply